บทความ

หนึ่งในความท้าทายของการพัฒนาทีมคือ “จบการเทรนแล้ว แต่สิ่งที่เรียนหายไปกับเวลา” ปรากฏการณ์นี้สอดคล้องกับ ทฤษฎี Forgetting Curve ของ Ebbinghaus (1885) ที่ชี้ให้เห็นว่า ภายในไม่กี่วันหลังการเรียนรู้ ความจำของเราจะค่อย ๆ ลดลงอย่างรวดเร็วหากไม่มีการทบทวนหรือฝึกใช้จริง ดังนั้น หากองค์กรต้องการให้การเทรนแปรเปลี่ยนเป็น “พฤติกรรม” จำเป็นต้องมีกลยุทธ์ follow-up ที่ชัดเจนและต่อเนื่อง

ทบทวนสิ่งที่เรียนรู้ทันทีหลังการเทรน เพื่อไม่ให้หายไปกับเวลา

ทันทีที่จบการเทรน ควรมีช่วงเวลาให้ทีมได้สรุปสิ่งที่เรียนรู้ ทั้งในมุมของความเข้าใจและวิธีนำไปใช้จริง การทบทวนอย่างฉับไวเป็นการ “ล็อกความรู้” ไว้ในสมอง ลดโอกาสที่มันจะหายไปตามเส้นโค้งการลืม และช่วยให้ทีมเห็นคุณค่าในสิ่งที่เพิ่งได้รับ

มีระบบหรือตัวช่วยคอยเตือนและกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง

การติดตามผลต้องมีระบบคอยช่วย เช่น การส่ง Reminder สั้น ๆ บนช่องทางออนไลน์, Check-in รายสัปดาห์, หรือแม้แต่การใช้คู่มือสรุปให้หยิบอ่านง่าย ๆ สิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือน “เข็มกลัด” ที่คอยปักความรู้ไว้ ไม่ให้หายไปกับเวลา

สร้างเวทีหรือโอกาสให้ทีมได้ลงมือใช้จริง ไม่ใช่แค่เทรนแล้วจบ

การเปลี่ยนความรู้เป็นพฤติกรรม ต้องผ่าน “การลงมือทำ” ไม่ใช่แค่รับฟัง ตัวอย่างเช่น หลังการเทรนเรื่องการสื่อสาร องค์กรอาจจัดเวิร์กช็อปสั้น ๆ หรือให้โอกาสทีมทดลองใช้วิธีการใหม่ในการประชุมจริง นี่คือการทำให้ความรู้ถูกแปรรูปเป็นทักษะที่จับต้องได้

เฉลิมฉลองความสำเร็จเล็ก ๆ ระหว่างทาง เพื่อสร้างแรงใจให้ทีมเดินต่อ

เมื่อทีมเริ่มลงมือและเกิดผลลัพธ์ แม้เพียงเล็กน้อย องค์กรควรให้การยอมรับและเฉลิมฉลอง เช่น ชมเชยทีมที่ทดลองใช้วิธีใหม่แล้วเวิร์ก หรือแบ่งปัน Success Story เล็ก ๆ สิ่งเหล่านี้สร้างแรงใจและทำให้ทีมอยากเดินหน้าต่อไป เพราะเห็นแล้วว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นไปได้จริง

สรุปได้ว่าการเทรนที่มีพลังไม่จบลงที่ “วันอบรม” แต่ต้องมีการติดตามอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ความรู้ค่อย ๆ ซึมลึกและกลายเป็นพฤติกรรมจริง กลยุทธ์ที่ดีคือการทบทวนทันทีหลังการเรียน มีระบบเตือนต่อเนื่อง สร้างโอกาสลงมือใช้จริง และเฉลิมฉลองความสำเร็จเล็ก ๆ ระหว่างทาง เมื่อองค์กรออกแบบ Follow-up แบบนี้ได้ ความรู้ที่มอบให้จะไม่สูญหาย แต่จะกลายเป็นพลังการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนทั้งต่อทีมและองค์กร