ผู้นำกับบทบาท Facilitator: เชื่อมคนต่างวัยให้งานลื่นขึ้น 10 เท่า

ในยุคที่องค์กรเต็มไปด้วยคนหลากหลายเจเนอเรชัน ตั้งแต่ Gen Baby Boomer, Gen X, Gen Y ไปจนถึง Gen Z ความท้าทาย ของผู้นำไม่ได้อยู่ที่ “ใครเก่งกว่าใคร” แต่อยู่ที่ “จะทำอย่างไรให้คนเก่งต่างวัยทำงานร่วมกันได้อย่างลื่นไหล” บทบาทของผู้นำจึง ค่อยๆ เปลี่ยนจากผู้สั่งการ มาเป็น Facilitator หรือ “ผู้อำนวยความร่วมมือ” และหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเชื่อมคนต่างวัยได้ อย่างทรงพลัง คือ Team Building ที่ออกแบบอย่างเข้าใจมนุษย์จริงๆ

ผู้นำเป็น Facilitator ในกิจกรรม Team Building เพื่อให้คนต่างวัยคุยกันได้จริง

ปัญหาที่พบได้บ่อยในทีมหลายเจเนอเรชัน คือ “พูดกันไม่รู้เรื่อง” ไม่ใช่เพราะภาษาไม่เหมือนกัน แต่เพราะกรอบความคิด ประสบการณ์ และความคาดหวังต่างกัน ผู้นำที่ยังอยู่ในบทบาทเดิม คือการสั่ง การชี้ หรือการตัดสิน มักยิ่งทำให้ช่องว่างนี้กว้างขึ้น

ตรงกันข้าม ผู้นำที่ทำหน้าที่เป็น Facilitator ในกิจกรรม Team Building จะโฟกัสที่ “การเปิดพื้นที่สนทนา” มากกว่าการควบคุมเนื้อหา เช่น การจัดวงพูดคุยที่ทุกคนมีเวลาพูดเท่ากัน การตั้งกติกาว่าไม่มีคำตอบถูกหรือผิด หรือการใช้คำถามกลางๆ ที่ไม่ชี้นำสิ่งเหล่านี้ช่วยให้คนต่างวัยกล้าพูด กล้าฟัง และเริ่มเข้าใจกันในระดับที่ลึกขึ้น

Team Building ในลักษณะนี้ไม่ได้เน้นความสนุกหรือการแข่งขัน แต่เน้น “การสื่อสารอย่างปลอดภัย” ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของ ทีมที่ทำงานร่วมกันได้จริง

ใช้ Team Building เป็นพื้นที่กลาง ลดช่องว่างระหว่าง Gen

ในชีวิตการทำงานจริง คนต่างวัยมักมีอำนาจไม่เท่ากัน บางคนเป็นหัวหน้า บางคนเป็นลูกน้อง บางคนมีประสบการณ์มากกว่า แต่ กิจกรรม Team Building ที่ออกแบบดี จะสร้าง “พื้นที่กลาง” ที่ทุกคนวางบทบาทตำแหน่งไว้ชั่วคราว และกลับมาเป็น “มนุษย์ที่ เท่าเทียมกัน”

ผู้นำในบทบาท Facilitator จะช่วยออกแบบกิจกรรมที่ไม่ให้เสียงของใครดังเกินไป หรือถูกกลบ เช่น การทำงานเป็นกลุ่มผสมเจ เนอเรชัน การหมุนบทบาทผู้นำกลุ่ม หรือการใช้เครื่องมืออย่าง Post-it, Canvas, หรือการเขียนก่อนพูด เพื่อให้ทุกคนมีโอกาส แสดงความคิด

เมื่อ Team Building กลายเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัย คนรุ่นใหม่จะกล้าพูดไอเดียโดยไม่กลัวผิด คนรุ่นเก่าจะกล้าแชร์ประสบการณ์โดย ไม่กลัวถูกมองว่าล้าสมัย ช่องว่างระหว่างวัยจึงค่อยๆ แคบลง และแทนที่ด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกัน

ตั้งคำถามแบบ Facilitator ดึงศักยภาพของทุกวัยโดยไม่ทับใคร

หัวใจสำคัญของ Facilitator ไม่ใช่การพูดเก่ง แต่คือ “การตั้งคำถามให้เป็น” โดยเฉพาะในกิจกรรม Team Building คำถามที่ดี จะไม่ตัดสิน ไม่ชี้นำ และไม่ทำให้ใครรู้สึกด้อยค่า ตัวอย่างคำถามแบบ Facilitator เช่น

  • “จากประสบการณ์ของคุณ คุณเห็นโอกาสตรงไหนบ้าง”
  • “ถ้ามองจากมุมของคนอีกเจนหนึ่ง เรื่องนี้อาจถูกตีความอย่างไร”
  • • “อะไรคือสิ่งที่ทีมของเรายังไม่ได้พูดออกมา”
คำถามลักษณะนี้ช่วยดึงศักยภาพของแต่ละวัยออกมา โดยไม่ทำให้ใครรู้สึกว่าความคิดของตนถูกทับหรือถูกลดค่า Team Building จึงไม่ใช่เวทีของคนเสียงดัง แต่เป็นเวทีของการฟังอย่างลึกซึ้ง
เมื่อทีมคุ้นเคยกับการสื่อสารผ่านคำถามแบบนี้ การประชุมในชีวิตจริงก็จะเปลี่ยนไป คนเริ่มฟังกันมากขึ้น และการตัดสินใจก็มี คุณภาพมากขึ้นตามไปด้วย

ต่อยอด Team Building เป็นรูปแบบการสื่อสารประจำทีม

หนึ่งในความผิดพลาดของหลายองค์กร คือมอง Team Building เป็นเพียงกิจกรรมปีละครั้ง ทำเสร็จแล้วก็จบ แต่ผู้นำที่เป็น Facilitator จะมองว่า Team Building คือ “ต้นแบบของการสื่อสาร” ที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตการทำงานประจำวันได้ ตัวอย่างเช่น
  • การเริ่มประชุมด้วย Check-in สั้นๆ
  • การใช้วง Reflection หลังจบโปรเจกต์
  • การตั้งคำถามเปิดแทนการสั่งการ
  • การฟังโดยไม่รีบแก้ปัญหา
เมื่อผู้นำทำสิ่งเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ ทีมจะค่อยๆ ซึมซับวัฒนธรรมการสื่อสารแบบใหม่ ที่ทุกคนรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าและมีส่วน ร่วมจริง นี่คือจุดที่ Team Building ไม่ได้จบแค่กิจกรรม แต่กลายเป็น DNA ของทีม

สรุป: ผู้นำที่เชื่อมคนได้ คือผู้น าที่ท าให้องค์กรเดินเร็วขึ้น

ในโลกที่เต็มไปด้วยความแตกต่าง ผู้นำที่เก่งที่สุดอาจไม่ใช่คนที่รู้ทุกอย่าง แต่คือคนที่ “เชื่อมทุกคนเข้าด้วยกันได้” บทบาท Facilitator จึงเป็นทักษะสำคัญของผู้นำยุคใหม่ และ Team Building คือสนามฝึกที่ดีที่สุดในการพัฒนาทักษะนี้

เมื่อผู้นำใช้ Team Building อย่างตั้งใจ ไม่เพียงแต่ความสัมพันธ์ในทีมจะดีขึ้น งานจะลื่นขึ้น การสื่อสารจะชัดขึ้น และองคก์รจะ พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้มากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า

หากคุณกำลังมองหาแนวทางพัฒนาผู้นำ หรือออกแบบ Team Building ที่เชื่อมคนต่างวัยได้จริง บทบาท Facilitator คือคำตอบ ที่องค์กรยุคนี้ไม่ควรมองข้ามเลยค่ะ

Share this Post:

Related Posts: