ในโลกที่องค์กรแข่งขันกันด้วยความเร็ว กลยุทธ์ และเป้าหมายที่ชัดเจน
กิจกรรม Team Building ส่วนใหญ่ก็มักจะถูกออกแบบให้ “มีโครงสร้าง” ชัดเจนไม่ต่างกัน
มีเกม มีภารกิจ มีเป้าหมายที่ต้องทำให้สำเร็จ เพื่อพัฒนาทีมให้ไปในทิศทางที่องค์กรวางไว้
แต่ในอีกมุมหนึ่งของโลกการทำงาน
กำลังเกิดกระแสใหม่ของ Team Building ที่ไม่มีกติกา ไม่มีกลยุทธ์ และไม่มีแผนที่แน่นอน
สิ่งที่มีกลับเป็น “พื้นที่ว่าง” ให้ความสัมพันธ์ของคนในทีมค่อย ๆ พัฒนาเองอย่างเป็นธรรมชาติ
เวิร์กช็อปแบบ No Agenda นี้ กำลังเป็นทางเลือกสำคัญในการพัฒนาทีมยุคใหม่
1. ปล่อยว่างเพื่อให้บางอย่างได้เกิด: เมื่อการไม่มีแผน คือแผนที่ดีที่สุด
ในกิจกรรม Team Building แบบดั้งเดิม
เรามักจะเห็นเกมที่แข่งขันกัน แบ่งทีมเพื่อทำภารกิจ หรือเน้นเป้าหมายร่วมกันให้ชัดเจน
แต่สิ่งที่มักหายไปจากเกมเหล่านั้นคือ “พื้นที่ปลอดภัยทางใจ”
ที่สมาชิกสามารถแสดงตัวตนได้โดยไม่กลัวผิดพลาด
การจัดเวิร์กช็อปแบบ No Agenda จึงเริ่มจาก “การไม่คาดหวังผลลัพธ์ล่วงหน้า”
ไม่มีโจทย์ ไม่มีตารางเวลาเป๊ะ ๆ ไม่มีใครคุมเกม
แต่ใช้เวลาเพื่อให้ทีมได้อยู่ร่วมกันในพื้นที่ว่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นการนั่งในวงเงียบ ๆ
การเดินเล่นในธรรมชาติ การเขียนบันทึก หรือพูดคุยอิสระในหัวข้อที่ทีมเลือกเอง
ในความ “ว่าง” นี้เอง
กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการสังเกต เข้าใจ และเชื่อมโยงกันในระดับที่ลึกยิ่งกว่าเกมใดๆ
2. แค่ได้อยู่ด้วยกันโดยไม่มี “สิ่งที่ต้องทำ” ความไว้ใจก็เริ่มก่อตัว
ในหลายองค์กรที่นำ Team Building แบบ No Agenda ไปใช้
พบว่าแม้จะไม่มีเกม ไม่มีภารกิจ แต่กลับได้ผลลัพธ์เรื่องความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมากขึ้น
เพราะเมื่อเราเอา “สิ่งที่ต้องทำ” ออกไป ก็จะเหลือแค่ “สิ่งที่เป็นอยู่”
และนั่นคือโอกาสสำคัญที่ทีมจะได้เห็นกันในอีกมุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
บางทีมเลือกใช้กิจกรรมอย่าง การเดินอย่างเงียบ ๆ พร้อมกัน
บางทีมใช้การ พูดคุยแบบไม่มีโครงเรื่องล่วงหน้า
บางคนเริ่มรู้ว่าเพื่อนร่วมทีมที่เงียบตลอดการประชุมจริง ๆ แล้วเป็นนักฟังที่ยอดเยี่ยม
หรือเพื่อนที่พูดเก่งมักซ่อนความเปราะบางไว้ภายใน
นี่แหละคือจุดเริ่มต้นของความไว้ใจ ที่ไม่ต้องใช้คำสั่ง ไม่ต้องใช้เกม
แต่ใช้การ “อยู่ด้วยกันอย่างแท้จริง”
3. ฟัง...ไม่ใช่เพื่อจะตอบ แต่เพื่อจะเข้าใจ
Team Building ที่ดีไม่ใช่แค่ช่วยให้ทีมพูดกันมากขึ้น แต่ควรทำให้ทีม “ฟังกันให้มากขึ้น”
และในเวิร์กช็อปแบบ No Agenda สิ่งที่โดดเด่นคือพื้นที่ของ “การฟังอย่างลึก”
ลองนึกภาพว่าทั้งทีมได้นั่งในวงกลม ไม่ถือมือถือ ไม่มีสไลด์ ไม่มีเจ้านายพูดนำ
แต่ทุกคนผลัดกันพูดว่า “ตอนนี้ฉันรู้สึกยังไง” หรือ “สิ่งที่ฉันอยากบอกทีมคือ...”
โดยไม่มีใครขัด ไม่มีใครตัดบท และไม่มีใครเร่งรีบจะให้ถึงข้อสรุป
นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กเลย เพราะในโลกการทำงานจริง
คนส่วนใหญ่มัก “ฟังเพื่อจะตอบ” มากกว่า “ฟังเพื่อจะเข้าใจ”
และเมื่อทีมได้ฝึกฟังอย่างแท้จริง มันจะเปลี่ยนความสัมพันธ์อย่างถาวร
4. เมื่อหัวหน้าไม่เป็น “ผู้นำกิจกรรม” แต่เป็น “ผู้ร่วมเรียนรู้” ความไว้ใจจะเกิดขึ้นเอง
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ Team Building แบบ No Agenda ได้ผลดีคือ
การที่หัวหน้าไม่ต้อง “คุม” แต่เลือกจะ “อยู่ร่วม” กับทีมในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง
หัวหน้าไม่ต้องเตรียมสไลด์ ไม่ต้องแจกไพ่เกม ไม่ต้องทำสรุป
แต่เลือกจะนั่งลง ฟัง และเปิดใจเช่นเดียวกับทีม
แม้จะดูเป็นบทบาทที่เงียบ แต่ในความเงียบนั้นเต็มไปด้วยพลังของความไว้ใจ
หัวหน้าที่กล้ายอมรับว่า “ฉันไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันนี้”
จะเป็นต้นแบบของความเปราะบาง (vulnerability) ที่สร้างความกล้าหาญให้ทีมเปิดใจตาม
ไม่ต้องพิสูจน์ตัวเอง ไม่ต้องแข่งขันกัน แต่ร่วมกันสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ทุกคนได้เติบโต
สรุปได้ว่าเวิร์กช็อปที่ไม่ต้องมี “ทำไม” แค่มี “ใคร” ก็เพียงพอ
Team Building แบบ No Agenda คือเครื่องมือที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง
ไม่มีโจทย์ ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีเป้าหมายชัดเจน แต่กลับเปิดประตูให้ทีมได้เจอกันในระดับที่ลึกซึ้งกว่าการทำงานร่วมกันธรรมดา
มันไม่ใช่เรื่องของ productivity ไม่ใช่เรื่องของ outcome แต่เป็นเรื่องของ “connection” และ “ความเป็นมนุษย์”
ที่ไม่อาจสร้างได้ด้วย KPI แต่สร้างได้จากการปล่อยใจให้ได้เจอกันจริง ๆ
ในโลกที่เต็มไปด้วยเสียงและความเร่งรีบ บางทีการหยุด การเงียบ และการอยู่ร่วมกันโดยไม่มีอะไรต้องทำ
อาจเป็น Team Building ที่จำเป็นที่สุดในเวลานี้
หากองค์กรของคุณต้องการทำ Team Building สามารถปรึกษาเราก่อนได้นะคะ
Team Building แบบ “No Agenda”: เวิร์กช็อปไร้แผนที่ช่วยทีมค้นหาความจริงใจ
Share this Post:



