ก่อนจะเทรนให้ทีมเก่ง ต้องอย่าลืมดูว่าทีมเริ่ม “หมดแรง” แล้วหรือยัง

หลายองค์กรเร่งพัฒนาทักษะของพนักงาน เพราะเชื่อว่าความรู้คือกุญแจสู่ความสำเร็จ แต่หากทีมกำลังเหนื่อย อ่อนแรง หรือใกล้หมดไฟ ต่อให้หลักสูตรการฝึกอบรมดีแค่ไหนก็อาจไม่เกิดผลจริง งานวิจัยของ Maslach & Leiter (Burnout Theory, 1997) ชี้ว่า “ความเหนื่อยล้าทางอารมณ์” คือสาเหตุหลักที่ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง และเป็นปัจจัยสำคัญที่ควรถูกดูแลก่อนการพัฒนาใด ๆ

พลังใจคือเชื้อเพลิงที่สำคัญไม่แพ้ทักษะและสกิลการทำงาน

ทักษะเปรียบเสมือนเครื่องยนต์ แต่พลังใจคือน้ำมันที่ทำให้เครื่องเดินได้ หากขาดพลังใจ แม้ทีมจะมีสกิลที่ดีแค่ไหนก็ไม่สามารถสร้างผลงานได้อย่างเต็มที่ แนวคิด Burnout Theory อธิบายไว้ชัดว่า เมื่อพลังใจร่อยหรอ คนทำงานจะเริ่มรู้สึกหมดแรง จนไม่สามารถดึงศักยภาพที่แท้จริงออกมาได้

สัญญาณเล็ก ๆ ที่บอกว่าทีมกำลังอ่อนแรงและใกล้หมดไฟ

ภาวะ Burnout มักเริ่มจากสัญญาณเล็ก ๆ เช่น การแสดงความเห็นน้อยลง ความกระตือรือร้นที่หายไป หรือแม้แต่การทำงานแบบ “เอาตัวรอดไปวัน ๆ” สิ่งเหล่านี้สะท้อนตามทฤษฎีที่ว่า ทีมกำลังเข้าสู่ ความเหนื่อยล้าทางอารมณ์ (Emotional Exhaustion) ซึ่งถ้าไม่สังเกตให้ทัน อาจบานปลายไปสู่การทำงานที่ไร้พลังอย่างถาวร

เติมพลังงานให้ทีมด้วยวิธีที่เหมาะสม ไม่ใช่เพียงการฝึกเพิ่มสกิล

ทางออกของการหมดไฟไม่ใช่การอัดความรู้เพิ่ม แต่คือการเติมเชื้อเพลิงใจ เช่น เปิดพื้นที่ให้ทีมได้พูดคุยอย่างจริงใจ จัด Team Building ที่ไม่ใช่แค่สนุกแต่ช่วยปลดล็อกความรู้สึก หรือให้โอกาสพักเพื่อชาร์จพลัง สิ่งเหล่านี้ช่วยลดความเหนื่อยล้าทางอารมณ์ และค่อย ๆ ฟื้นแรงใจให้ทีมพร้อมกลับมาทำงานอีกครั้ง

เมื่อทีมกลับมามีพลังใจที่เต็ม การเทรนและการพัฒนาจะเห็นผลชัดเจนยิ่งขึ้น

เมื่อภาวะ Burnout ถูกคลี่คลาย ทีมที่เคยเหนื่อยล้า จะกลับมามีแรงใจ เปิดรับการเรียนรู้ และพร้อมพัฒนาตนเองมากขึ้น ทุกการเทรนจะไม่ใช่เพียง “กิจกรรมบังคับ” แต่จะกลายเป็นกระบวนการที่สร้างการเติบโตจริง

สรุปได้ว่าการพัฒนาทีมไม่ใช่แค่การเพิ่มทักษะ แต่คือการดูแลหัวใจของคนให้มีแรงพร้อมที่จะเรียนรู้ หากทีมอ่อนแรง ต่อให้มีหลักสูตรจะดีมากแค่ไหนก็อาจไม่สร้างผลลัพธ์ แต่เมื่อทีมได้รับพลังใจกลับคืนมา ทุกการเทรนจะมีความหมายและเปลี่ยนเป็นพลังการเติบโตทั้งต่อบุคคลและองค์กรอย่างแท้จริง 

Share this Post:

Related Posts: